ทันที ที่ก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร แบบ 2 ที่นั่ง ซึ่งดูแล้วค่อนข้างแคบพอสมควร ถ้าหากนั่ง 2 คน จะไม่เหลือพื้นที่ให้วางของได้ เราเริ่มมองไล่ตั้งแต่แผงคอนโซล ที่ดูเรียบ และไม่ต้องมีฟังก์ชั่น เยอะแยะ อะไรให้ดูยุ่งวุ่นวาย เอาเท่าที่จำเป็นก็พอ มีเพียง เครื่องเสียงที่รองรับ USB และ SD Card ปุ่มเครื่องปรับอากาศ ปุ่มไฟตัดหมอกหน้า-หลัง แถบไฟบอกสถานะก๊าซ ที่จุดบุหรี่ แถมด้วยถังดับเพลิงมาให้ด้วย ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงช่องวางแก้ว หันมามองบนแผงหน้าปัด ดูราบเรียบ ไม่ต้องมีลูกเล่นอะไรมากมาย เพียงแค่ มาตรวัดความเร็วทางด้านซ้าย และแถบวัดรอบเครื่องยนต์ทางด้านขวา สำหรับช่องบอกข้อมูล บอกดิจิตัล จะบอกระดับน้ำมัน อุณหภูมิเครื่อง นาฬิกา และ Trip และพวงมาลัยขนาด 4 ก้านที่ดูเรียบๆ มีปุ่มแตร อยู่ 2 ฝั่งนิ้วโป้ง และปุ่มสวิทช์ไฟฉุกเฉินฝังอยู่ตรงคอพวงมาลัย โดยพวงมาลัยนี้ไม่สามารถปรับระดับได้ สำหรับเบาะนั่งโดยสาร สามารถปรับเลื่อนระยะทางหน้า-หลัง ได้ แต่ไม่สามารถ ปรับเอนเบาะ ได้ ทำให้เบาะนั่งจึงต้องตั้งชันพอสมควร สำหรับตัวผมเองที่มีส่วนสูง 174cm ในตำแหน่งผู้ขับยังไม่ถือว่า อึดอัด เข่าติด ทำให้ขับได้ลำบากมากนัก ในจังหวะที่ยกเท้าซ้ายออกจากแป้นคลัช ยังพอมีพื้นที่ให้เหยียดเท้าซ้ายออกไปได้ แต่หากผู้ขับที่มีส่วนสูง ในระดับ 180cm ขึ้นมา อาจมีเมื่อยเข่ากันได้บ้าง
เครื่องยนต์ เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ แบบ SOHC ความจุ 1300cc มีกำลัง 82 แรงม้า@6,000rpm แรงบิด 102 Nm @3,000-3,500rpm รองรับพลังงาน 2 ระบบ น้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E10 และ LPG
ทางบริษัทเคลม Top Speed ที่ 125 กม./ชม. แต่ในการขับทดสอบจริงในช่วงขาไป รถคันของผู้ทดสอบ ซึ่งไม่ได้บรรทุกสัมภาระท้าย แถมนั่งคนเดียว ในบางช่วงจังหวะสามารถทำความเร็วได้เต็ม 140 กม./ชม. จากเข็มบนหน้าปัด
ต้องขอขอบคุณ การที่ใช้อัตราทดเฟืองท้าย อยู่ที่ 3.909 ซึ่งช่วยให้มันวิ่งที่ความเร็ว ในระดับ 100 กม./ชม. ขึ้นไป ยังทำได้ไม่อืดอย่างที่คิดนัก
สำหรับการขับขี่ ตั้งแต่ที่เหยียบคลัชออกตัว รู้สึกว่าน้ำหนักคลัชเบาในระดับรถยนต์นั่งสมัยใหม่ โยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 โดยที่ ทรงของหัวเกียร์ Shift Knob ดูจะมนกลม ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับ Toyota Vios เกียร์ธรรมดา ในช่วงตำแหน่งที่โยกเข้าเกียร์แต่ละครั้ง ลักษณะจะเป็น Short Shift คือ ให้อารมณ์ ไม่เหมือนรถกระบะที่ช่วง คันเกียร์จะรู้สึกยาว เพราะใน V21 คันนี้ จะดูช่วงสั้น คล้ายๆ รถยนต์นั่งเกียร์ธรรมดา ทั่วๆไป การขับขี่ในช่วงออกตัว อาจพบว่าเสียงดังมาก เนื่องจากเครื่องยนต์อยู่ใต้เบาะที่เรานั่ง ขับเคลื่อนโดยลากรอบไป สับเกียร์ในช่วงประมาณ 3,500rpm ซึ่งเป็นช่วงที่มี ทอร์ค สูงสุด ยัง ถ้าสับเกียร์ในช่วงที่ต่ำกว่านี้ อาจจะรู้สึกอืดกันหน่อย หากลองขับลากยาวๆ แบบสุดใจขาดดิ้นของกำลังรถที่มี ลากเกียร์ 4 ขึ้นไป ถึงรอบราว เกือบๆ 5,000rpm ซึ่ง เกือบจะชน Redline ความเร็วอยู่ที่เกือบๆ 120 กม./ชม. เราจะพบว่า สมรรถนะของมันไม่ได้ดูขี่เหล่แต่อย่างใด แต่หาก สับเกียร์ขึ้น 5 ต่อไป ก็ตามสภาพ กำลังเครื่องตกห้อยมาทันที ถ้าหากขับบนถนนทางตรง ทั่วๆไป กำลังเครื่องยนต์นั้นมีให้ใช้แบบ ที่เรียกว่า เหลือเฟือ ต่อการใช้งานในรถระดับนี้ แต่ถ้าหากต้องขับขึ้นทางลาดชัน บริเวณช่วงขึ้นเขา นั่นอาจเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากเสียหน่อย เพราะจะต้องมาไล่สับเกียร์ลงต่ำใหม่ เพื่อให้มีกำลังมากพอที่จะฉุดน้ำหนักตัวรถราว 1,030 กก. ขึ้นไปได้
โดยรวมๆ แล้วสมรรถนะของเครื่องยนต์ตัวนี้ ที่พ่วงถังก๊าซ LPG ขนาด 36.5 ลิตรมาให้ นั่นเพียงพอที่จะวิ่งได้ในระยะทางระดับ 300 กม./ชม.สบายๆ เพราะลองวัดอัตราสิ้นเปลืองจากการเติม LPG กลับเข้าไป ซึ่งผมขับเองมือเดียวทำได้ 10.34 กม./ลิตร นั่น ก็ถือว่าดีมากพอแล้ว กับทริป ซึ่งนักข่าวทั้งหลาย ต่างขับกันเต็มสมรรถนะทั้ง 4 ลูกสูบ ความจุ 1,300cc คันนี้ เอาเป็นว่า มันเหมาะสม และดูเพียงพอต่อการบรรทุกของ จากในเมือง ไปส่งบริเวณชานเมือง ได้แบบไม่เหนื่อยเครียดจนเกินไป
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรง มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดที่ 4.9 เมตร ในการสาว Handling พวงมาลัยพบว่า พวงมาลัยขนาดเล็กมีวงเลี้ยวแคบ มันช่วยผ่อนแรงที่ความเร็วต่ำจริง และดูจะคล่องตัวพอสมควร แต่เมื่อขับเคลื่อน ออกตัวไป หรือการขับที่ความเร็วสูงพวงมาลัย นั้นรู้สึกหนักขึ้นมาก และการบังคับเลี้ยวนั้น พบว่า ค่อนข้างลำบากทีเดียว โดยเฉพาะเวลาเจอทางโค้ง ด้วยน้ำหนักรถที่ทิ้งหนักมาที่ตำแหน่งหัวรถ นั่นจึงเป็นผลให้ รถดูจะเลี้ยวไม่ค่อยเข้านัก ร่วมกับแฮนด์ลิ่งที่ดู หนักเอาเรื่องเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง เวลาเจอโค้งอาจต้องเตรียมชะลอ ระวังมากเป็นพิเศษ ซึ่งอาจต้องลดเกียร์ลงช่วย มาจากตำแหน่งเกียร์ 5 -> 3
ระบบเบรก ดิสก์คู่หน้า และดรัมคู่หลัง ต้องยอมรับเลยว่า การตอบสนองในด้านของเบรกนั้น ทำได้ดีมาก ดีกว่าที่คาดคิด เบรกหนึบติดเท้า ไว้ใจเอาอยู่ได้เลยกับกำลังเครื่องที่มีในระดับนี้ แต่ยังไงก็ ตามก็อาจต้องระวังในเรื่องของการเบรกในช่วงโค้งให้ดี เนื่องจาก บาลานซ์ของตัวรถที่อาจจะไม่ได้ดีมาก อาจทำให้ตัวรถส่ายเป๋ไปได้ เมื่อเบรกหนักๆ
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบ Double Wish Bone พร้อมคอยล์นสปริง และเหล็กกันโคลง และด้านหลังใช้เป็นแผ่นแหนบ ซ้อนกัน 4 ชั้น
ความรู้สึกสำหรับการขับในครั้งนี้ ก็เป็นไปตามอย่างที่คิด นั่นคือ ช่วงล่างในสไตล์รถสำหรับบรรทุกของ จะมีอาการกระเด้ง สะเทือนให้สัมผัสตลอด เมื่อพบพื้นผิวถนนที่ไม่มีความเรียบ แต่เมื่อลองขับขี่ที่ความเร็วสูงในระดับ 120 กม./ชม. ไป ยังถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ยังไม่ค่อยพบอาการรถเหิน ให้เห็นนัก แต่บริเวณด้านท้ายที่ยาว และไม่ได้บรรทุกสิ่งของ อาจมีอาการลอยๆ บ้าง เมื่อวิ่งบนพื้นที่ไม่เรียบ ในการเข้าโค้งนั้น ก็ตามที่ได้กล่าวไป รถที่ท้ายโล่ง น้ำหนักเบา การเข้าโค้งหนักอาจทำให้ท้ายรถดูล่อนไป เหมือนกัน ดังนั้นต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
สรุป รถ Mini Truck ตงฟง V21 แชมเปี้ยน ถือเป็นรถที่มีพื้นที่กระบะท้าย ที่มีขนาดความยาวมากที่สุดกว่าเพื่อน ถึง 2.7 เมตร อีกหนึ่งรถสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจ SME และต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย อาจลองหันมามอง แม้ว่าคนส่วนใหญ่อาจจะไม่มีความมั่นใจ จากความเป็นรถในแบรนด์จีน แต่ รถของ ตงฟง ถือเป็นรถที่ประกอบ ขึ้นในประเทศไทย นั่นทำให้ชิ้นส่วน Spare Parts หลายชนิด นั้นใช้ของไทย ซึ่งดูมีคุณภาพมากกว่า สร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น และที่สำคัญ ตงฟง ได้มีความเตรียมพร้อมในด้านของศูนย์บริการ มากกว่า 45 แห่ง ทั่วประเทศ และ 8 แห่งใน กทม. และนั่นทำให้ ตงฟง เก๋าพอที่จะอยู่มาได้นาน และพร้อมจะเติบโตขึ้นในอนาคต ได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากจะใช้ประเทศไทย เป็น Hub ศูนย์กลางในการ ส่วนของ Service และ Maintainance นั่นจึงทำให้มั่นใจได้สูงว่า รถยนต์จากแดนมังกร แผ่นดินใหญ่ ค่ายนี้ ไม่ทิ้งคุณไปไหนแน่
ขอขอบคุณ ตงฟง มอเตอร์ส สำหรับการเข้าร่วมทดสอบ V21 แชมเปี้ยนในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver